Posted in Dàomù bǐjì FanFiction

Dàomù bǐjì FanFiction [ เฮยเสียจื่อ x อู๋เสีย ] ‘ที่ดีๆ’

Dàomù bǐjì FanFiction

Hēi xiā zi x Wú Xié (เฮยเสีย)

‘ที่ดีๆ’

………………

ท่ามกลางความมืดของท้องฟ้ายามค่ำคืนในหังโจว สายลมอ่อนที่พัดผ่านร่างของผมเมื่อผนวกรวมกับภาพของตึกร้างโทรมๆเบื้องหน้านั้นสร้างความหวาดระแวงให้แก่ผมได้ในระดับหนึ่ง

“เนี่ยนะที่ดีๆที่นายบอก…” ผมหันไปถามชายหนุ่มชุดดำสวมแว่นกันแดดที่ยืนอยู่ข้างๆ เขาพยักหน้าอย่างแข็งขัน ส่งยิ้มให้ผมอย่างร่าเริง

“ใช่แล้วครับนายน้อย เอาล่ะ เข้าไปข้างในกันเถอะ” ไม่พูดพร่ำทำเพลง เฮยเสียจื่อคว้ามือผมก่อนจะกึ่งลากกึ่งจูงผมให้เข้าไปในตึกด้วยกัน

พูดก็พูดเถอะ ตึกร้างเก่าๆโทรมๆแต่นี้ไม่ทำให้คนที่มีประสบการณ์ผ่านสุสานโบราณมาอย่างโชกโชนกลัวหรอก แต่ที่ผมกังวลก็คือเหตุผลที่นายแว่นดำพาผมมาที่นี่ต่างหาก…

คนดีๆที่ไหนจะพาคนรู้จักมาตึกร้างแบบนี้กัน เขาจะไม่ฆ่าหมกศพผมแล้วสวมรอยเป็นนายน้อยสามอู๋เสียแทนผมใช่ไหม…

ความทรงจำในช่วงเย็นวันนี้ผุดขึ้นมาในหัวสมอง เสียงของเฮยเสียจื่อลอยเข้ามาในร้านขายวัตถุโบราณที่เงียบเชียบไร้ลูกค้า

‘นายน้อย ผมเจอที่ดีๆในหังโจวด้วยล่ะ ไปด้วยกันนะครับ’

ในตอนนั้น ผมที่กำลังยุ่งกับการเก็บสมุดบัญชีติดตัวแดงลงลิ้นชักโต๊ะทำงานเงยหน้าขึ้นมามองผู้มาเยือนเล็กน้อย

‘ถ้าเป็นทะเลสาบซีหูหรือว่าวัดหลิงอิ่นฉันไม่สนใจหรอกนะ’ ผมทำหน้าเอือมระอาตามประสาคนท้องที่ เฮยเสียจื่อหัวเราะเบาๆ เขาเอ่ยออกมาอย่างมั่นใจ

‘ไม่ใช่หรอกครับ เป็นที่ที่วิเศษกว่านั้นเยอะ นายน้อยเองก็ไม่น่าจะเคยไปด้วย’

พออีกฝ่ายพูดออกมาอย่างนั้น ศักดิ์ศรีของคนหังโจวอย่างผมที่หลับลึกอยู่ก็ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาทันที

‘ก็ได้’

รู้ตัวอีกที ผมก็ตกปากรับคำนายแว่นดำไปเสียแล้ว

สุดท้ายก็ดันถูกหลอกพามาในที่แปลกๆจนได้…

ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ เบ้ปากไม่พอใจแต่ก็ยอมเดินตามเฮยเสียจื่อไปเรื่อยๆ ขึ้นบันไดไปเกือบสิบชั้นจนขาล้าไปหมด จนในที่สุด เขาก็พาผมมาถึงชั้นดาดฟ้าของตึกร้างนี้

“ถึงแล้วครับ”

“เนี่ยนะ? ที่ดีๆของนาย?” พอถูกผมถามเฮยเสียจื่อก็พยักหน้า

“ใช่แล้ว นายน้อยยังไม่เคยมาใช่มั้ยล่ะครับ”

“ไม่เคยหรอก พูดให้ถูกคือมันไม่ใช่ที่ดีๆที่ควรจะมาไม่ใช่รึไง” ผมกวาดตามองไปทั่วบริเวณดาดฟ้า มันเต็มไปด้วยฝุ่นและเศษปูน ดูเก่าและซอมซ่อไม่ต่างจากภายในตัวอาคารที่ผมเห็นระหว่างเดินขึ้นบันไดมา

“ฮึๆ ไม่หรอกครับ ที่นี่วิเศษจะตาย ก่อนอื่นนายน้อยต้องนอนลงบนพื้นครับ”

“หา? จะบ้ารึไง ก็เห็นว่าพื้นมันสกปรก—” ผมยังไม่ทันจะเถียงจบเฮยเสียจื่อก็เดินเข้ามาใกล้ผม มือหนาภายใต้ถุงมือหนังวางลงบนไหล่ผมทั้งสองข้าง เคลื่อนใบหน้าเข้ามาใกล้ใบหูของผม เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ้อนวอน

“ขอร้องล่ะครับนายน้อย นอนลงเถอะนะ”

สัมผัสเบาๆจากลมหายใจอุ่นๆของอีกฝ่ายทำให้หัวใจของผมเต้นรัวเร็วไม่เป็นจังหวะ

ก…ใกล้เกินไปแล้ว!

“ก็ได้! แต่นายห้ามทำอะไรแปลกๆนะ!” ผมตวาดเสียงดัง เฮยเสียจื่อยอมผละมือจากไหล่ทั้งสองข้างของผม ผมนั่งลงบนพื้นปูนสีมอซอ ทำใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะล้มตัวนอนลงไป

เอาน่าอู๋เสีย แค่พื้นดาดฟ้าสกปรกเอง นายเคยนอนในสุสานมาแล้วไม่ใช่หรือไง

พอเห็นว่าผมนอนลงไปเรียบร้อยแล้ว เฮยเสียจื่อก็ล้มตัวนอนลงข้างๆ ผมหันไปมองเขาที่เหยียดกายนอนอย่างผ่อนคลายก่อนจะเอ่ยถามอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด

“นายคิดจะทำอะไรของนายกันแน่”

“ก็ชวนคุณมาที่ดีๆไงล่ะครับ เอ้า ไม่เชื่อลองมองขึ้นไปบนท้องฟ้าสิ”

ผมทำตามที่เฮยเสียจื่อบอก ท่ามกลางความมืดของผืนฟ้า ดวงดาวน้อยใหญ่ต่างส่องสว่างตัดกับสีดำบนฟ้า พวกมันบ้างกระจายตัว บ้างกระจุกตัว ตกแต่งท้องฟ้ายามค่ำคืนให้สวยงามชวนฝัน

เฮยเสียจื่อปล่อยให้ผมล่องลอยไปกับความงามของดวงดาวบนท้องฟ้าอยู่ครู่หนึ่งจึงเอ่ยขึ้นมาท่ามกลางความเงียบ

“สวยใช่มั้ยล่ะครับ”

“ฮื่อ เป็นที่ที่ดีจริงๆนั่นล่ะนะ” ผมยักยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ ความสวยของดวงดาวบนผืนฟ้าสีดำและความเงียบของสถานที่ทำให้ผมลืมความวุ่นวายของโลกภายนอกไปจนหมดสิ้น

“ฮะๆ ถ้านายน้อยชอบ ผมก็ดีใจ” เฮยเสียจื่อหัวเราะเบาๆ ผมหันหน้าไปมองอีกฝ่ายว่าจะขอบคุณเขาเสียหน่อยที่พามาดูดาวสวยๆ ทว่า แต่แล้วก็ต้องเปลี่ยนเป็นถามคำถามหนึ่งออกมาแทน

“นายสวมแว่นนั่นแล้วมองเห็นชัดหรือ”

เฮยเสียจื่อหันมามองผม ส่งยิ้มบางๆให้

“คุณเคยถามผมไปแล้วนี่ครับ”

“แต่ฉันคิดว่าแว่นกันแดดอาจทำให้นายมองเห็นดาวไม่ชัด ก็เลยถามอีกรอบ”

เฮยเสียจื่อไม่ตอบ นายแว่นดำหันมามองผม ถึงแม้จะสวมแว่นกันแดดบังไว้แต่ผมรู้สึกได้ว่าเขากำลังจ้องผมอยู่

“ผมเห็นชัดเลยล่ะครับ”

“เห็นความรักที่ผมมีให้คุณชัดแจ๋วเลย”

“…….” ผมถึงกับไปต่อไม่ถูกเมื่อได้ยินมุกเสี่ยวจากปากนายแว่นดำ พอตั้งสติได้ก็รีบส่งเสียงด่าอีกฝ่ายแก้เขิน

“นายแม่งบ้า นับดาวจนเมารึไง!”

“ไม่เมาดาว แต่เมารักได้มั้ยล่ะครับ” เฮยเสียจื่อยิ้มเผล่ ผมรู้สึกได้ว่าใบหน้าของตัวเองตอนนี้กำลังร้อนผ่าว นายแว่นดำมองหน้าผมแล้วได้แต่ยิ้มอย่างอารมณ์ดี

“…ฉันกลับล่ะ!”

“นายน้อยยย เดี๋ยวผมไปส่งครับ”

พอเฮยเสียจื่อเห็นผมลุกขึ้นยืนก็รีบยืนขึ้นบ้าง ผมตั้งใจจะหันไปด่าเขาอีกครั้ง แต่ยังไม่ทันจะได้เอ่ยปากต่อว่าอีกฝ่าย ริมฝีปากของนายแว่นดำก็ประกบเข้ากับริมฝีปากของผมอย่างแผ่วเบา….

ราวกับโลกหยุดนิ่ง เข็มวินาทีหยุดเดิน ความอ่อนโยนของจุมพิตนั้นค่อยๆหลอมละลายหัวใจผมอย่างเชื่องช้า

บางที…สถานที่ที่ดีอาจไม่ใช่สถานที่ที่เงียบสงบเหมาะแก่การดูดาว

แต่เป็นสถานที่ที่ผมมีเขาอยู่ข้างกายต่างหากล่ะ…..

……..

อร่ากกกกกจบแหล่ววฮืออออออ55555555555 กลับมาแจวเรือต่อแล้วค่ะ หลังจากที่โดนดูดไปแฟนด้อมนู้นนี้นั้นมาตั้งนาน ไม่ได้เขียนฟิคมาพักนึงรู้สึกสกิลภาษาหายไปเยอะเลย จากที่เดิมทีก็ไม่ค่อยจะมีอยู่แล้ว55555555555555555555555;__;555555555555555555 ยังไงก็ตาม ขอบคุณทุกคนที่อ่านจนจบนะคะ//////

Posted in Dàomù bǐjì FanFiction

Dàomù bǐjì FanFiction [ เฮยเสียจื่อ x อู๋เสีย ] ‘Drunk’

เคยลงในทวิตแล้วค่ะ ลิงค์นี้ๆ http://twishort.com/Ii3ic


Dàomù bǐjì FanFiction

Hēi xiā zi x Wú Xié (เฮยเสีย)

‘Drunk’

……

“ข้าไม่ได้ติดใจในรสชาติของสุรา หากแต่ข้าชื่นชอบบรรยากาศของการร่ำสุรา ดื่มสุรากับสหายรู้ใจ แม้ดื่มพันจอกก็มิเมามาย”

“อะไรของนายเนี่ยเฮยเสียจื่อ อย่ามาทำเป็นโกวเล้งแถวนี้นะ คนจะค้าจะขาย”

พอโดนนายน้อยสามอู๋เสียตอบมาแบบนี้ผมที่เมื่อครู่เพิ่งดัดเสียงเข้มพูดคำคมของโกวเล้งก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้

“โธ่นายน้อยสาม ผมก็เอามาค้าขายเหมือนกันนะครับ นี่ไง คุณช่วยดูให้หน่อยสิว่าไอ้พวกนี้น่ะได้ราคาดีรึเปล่า” ผมพยักเพยิดไปยังข้าวของกองใหญ่ที่วางหลบๆอยู่บริเวณหน้าร้าน

“ก็แล้วทำไมไม่เอาเข้ามาข้างในล่ะ”

“ก็ผมถือไอ้นี่อยู่นี่นา ถ้าอย่างนั้นก็ฝากวางหน่อยได้มั้ยล่ะครับ” ผมว่าพลางวางของในถุงที่ถือไว้ลงบนเคานท์เตอร์ร้านอย่างทะนุถนอมโดยไม่รอคำอนุญาตจากอีกฝ่ายก่อนจะเดินตัวปลิวไปหอบกองวัตถุโบราณเขามาวางข้างในตามคำบอกของเจ้าของร้าน

“อะไรอยู่ในถุงนี่น่ะเฮยเสียจื่อ” นายน้อยเลิกคิ้วสงสัย

“ของดียังไงล่ะครับของดี” ผมล้วงมือหยิบกล่องยาวๆสองสามกล่องออกมาจากถุง นายน้อยมองตัวอักษรหรูหราบนตัวกล่องแล้วพึมพำออกมาเบาๆ

“เหมาไถ….”

“แพงซะด้วยนะครับเจ้านี่น่ะ” ผมเปิดฝากล่องเหล้าขึ้นชื่อของจีนแล้วหยิบขวดออกมาวางบนเคานท์เตอร์อย่างเบามือ

“นายเอามาทำไมเนี่ย…”

“ก็เอามาดื่มกับนายน้อยไงครับ นานๆทีผมจะได้ดื่มอะไรแพงๆอย่างนี้นา เดี๋ยวผมไปเอาแก้วมาให้”

“ฉันต้องทำงานนะ ดื่มตอนนี้ไม่ได้หรอก”

“ทั้งๆที่ไม่มีลูกค้าเนี่ยนะครับ”

“ไว้ปิดร้านแล้วเดี๋ยวฉันจะดื่มเป็นเพื่อน ถ้านายอยากดื่มจนรอไม่ไหวก็ไปดื่มคนเดียวเลยไป”

“ก็ได้ครับ รอก็รอ” ผมพยักหน้าอย่างจำยอม หอบเหล้าทั้งหมดไปเก็บไว้ในห้องพักหลังร้าน ปล่อยให้นายน้อยไปตีราคาของที่ผมเพิ่งได้มาสดๆร้อนๆจากสุสานล่าสุด ซึ่งคงจะใช้เวลานานพอสมควร ระหว่างนั้นผมก็นั่งคิดอะไรเพลินๆในใจ

ที่ผมมาที่นี่….เพราะต้องการดื่มเหล้ากับคนที่อยากลืมเพื่อให้ลืมคนที่อยากลืม

ถึงจะลืมไปได้แค่ชั่วคราว แต่ถึงยังไงก็อยากลืม……..

ไม่ได้อยากลืมเพราะนายน้อยไม่ดี แต่เพราะนายน้อยดีเกินไปถึงได้อยากลืม เพราะคิดถึงอีกฝ่ายมากจนเกินไปถึงได้อยากลืม เพราะรักมากเกินไปถึงได้อยากลืม….

เพราะเป็นรักข้างเดียว ถึงแม้จะรู้สึกดีที่ได้รัก….แต่ก็อยากลืม

ความรักเป็นเรื่องที่ดี เป็นเรื่องที่ทำให้ผมมีความสุข แต่เรื่องดีๆเช่นนี้กลับทำให้ผมเจ็บปวด….ก็เลยอยากลืม แต่ไม่ว่าจะทำยังไง ต่อให้พยายามมากแค่ไหนก็ลืมไม่ได้ซะที

อยากลืม….แต่ทำไม่ได้

หัวใจมันไม่ยอมให้ลืม…จนผมเริ่มสงสัยตัวเองแล้วว่าตกลงผมอยากลืมหรือไม่อยากลืมกันแน่

“ฉันให้ราคาของทั้งหมดประมาณนี้นะ นายสนใจจะขายรึเปล่า”

ผมสะดุ้งโหยงเมื่อจู่ๆนายน้อยก็เดินเข้ามาใกล้ผมพร้อมกับยื่นเครื่องคิดเลขให้ดูราคา ผมพยักหน้ายินยอมอย่างไม่ใส่ใจนัก หลังจากที่มองส่งแผ่นหลังขนายน้อยที่ผละจากผมไปหยิบเงิน ผมลอบถอนหายใจเฮือกใหญ่ ส่ายหน้าไปมาเล็กน้อยเพื่อเรียกสติเตรียมปั้นหน้ายิ้มแย้มอีกครั้ง

“เอ้านี่” นายน้อยกลับมาอีกครั้งพร้อมกับเงินในมือ ผมรับเงินนั้นมาอย่างว่องไวแล้วกรีดแบงค์นับจำนวนเงินพร้อมๆกับฮัมเพลงไปด้วย

“อีกไม่กี่ชั่วโมงฉันก็จะเก็บร้านแล้ว นายออกไปเดินเล่นก่อนก็ได้ นั่งรออยู่ในนี้คงเบื่อแย่”

“อืม…ถ้าอย่างนั้นคุณเก็บร้านเร็วกว่าปกติซักหน่อยก็ได้นี่ครับ อีกไม่นานก็จะปิดแล้วไม่ใช่เหรอ” ผมยื่นข้อเสนอพลางส่งยิ้มบางๆให้เขา นายน้อยลังเลเล็กน้อย แต่พอมองนาฬิกาข้อมือเขาก็ตัดสินใจนั่งลงตรงข้ามกับผม ผมยิ้มอีกครั้งก่อนจะเดินไปหยิบแก้วมาจากครัวเล็กๆหลังร้านอย่างคุ้นชิน รินเหล้าขาวชั้นดีลงในแก้วใส

ผมสูดดมกลิ่นอันเป็นเอกลักษณ์ของเหมาไถอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะดื่มหมดแก้ว เจ้าเหล้าขาวชั้นดีนี้ไม่ได้หอม ไม่ได้หวานในครั้งแรกที่ดื่ม แต่เมื่อมีแก้วที่สองและแก้วที่สาม รสชาติของมันนั้นวิเศษยิ่งกว่าอะไรทั้งมวล

โดยเฉพาะ เมื่อได้นั่งดื่มมันกับคนที่แอบรัก ถึงแม้ว่าคนที่ผมรักคนนั้นจะเป็นคนเดียวกับคนที่ผมอยากลืมก็ตาม

“เป็นไงบ้างครับนายน้อย”

“ใช้ได้” นายน้อยพยักหน้า “ว่าแต่ทำไมจู่ๆถึงมาชวนฉันดื่มล่ะ”

“….ไม่มีอะไรหรอกครับ ก็แค่อยากดื่ม”

“เหรอ จะว่าไปตอนที่พวกเราเจอกันครั้งแรกน่ะ….”

ผมกับนายน้อยนั่งคุยเรื่องสัพเพเหระกันอยู่ครู่ใหญ่ คงเป็นเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่ทำให้พวกเราขุดเรื่องราวแทบทุกอย่างในชีวิตมาเปิดประเด็นคุยกันได้อย่างสนุกสนาน และคงเป็นเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์อีกเช่นกันที่ทำให้ผมเผลอพูดอะไรออกมา

“มีคนเคยบอกผมว่าการดื่มจนเมาหลับไปช่วยให้ลืมเรื่องไม่ดีที่ไม่มีวันลืมไปได้พักนึง”

“งั้นเหรอ ถ้าอย่างนั้นนายในตอนนี้ก็กำลังพยายามจะลืมเรื่องไม่ดีอยู่งั้นสินะ~” นายน้อยถามอย่างสนอกสนใจ

“ผมไม่มีเรื่องเลวร้ายอะไรให้ลืมหรอกครับนายน้อย มีแต่เรื่องดีๆที่อยากลืม”

“ประหลาดคนนะนาย~ ไม่มีใครอยากลืมเรื่องดีๆของตัวเองหรอก”

“….”

ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ขณะที่แกว่งแก้วในมือไปมา ของเหลวใสในแก้วกระฉอกเบาๆตามแรงแกว่ง นัยน์ตาเบื้องหลังแว่นกันแดดสีชามองความเคลื่อนไหวของเหล้าในแก้ว ขณะเดียวกันก็เอ่ยพึมพำกับตัวเองเบาๆ

“นั่นสิ แปลกจริงๆนั่นล่ะนะ….”

“ช่ายๆ นายนี่บ้าชะมัดเลย เรื่องดีๆมันก็ต้องจำเอาไว้เซ่”

“แต่เรื่องดีๆมันทำให้เจ็บนี่ครับ ว่าแต่นายน้อยเริ่มเมาแล้วสินะครับ…”

“เฮ้ย ยังไม่เมาโว้ย บ้าป่าวว เหล้าแค่นิดเดียวใครจะไปมาวว้าาา”

“…….” ผมเหลือบมองนาฬิกาข้อมือ เคยได้ยินว่าเหล้าเหมาไถดื่มแล้วเมายาก แต่นี่ทั้งผมกับนายน้อยก็นั่งดื่มกันมาหลายชั่วโมงแล้ว เวลาแห่งความเพลิดเพลินมักผ่านไปเร็วเสมอ

“เฮยเสียจื่อออ”

“เอ่อ อะไรครับนายน้อย”

“เรื่องดีๆของนายคืออาราย ทำมายต้องอยากลืมด้วยยย”

ผมเหลือบมองคนเมาก่อนจะยิ้มบางๆ “ก็นายน้อยไงครับ ไม่สิ ถ้าจะพูดให้ถูกก็น่าจะเป็นความรักที่ผมมีต่อนายน้อยมากกว่า ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีไม่ใช่เหรอ”

นายน้อยนิ่งไปเล็กน้อยราวกับว่ากำลังแปลงสารของผมให้ซับซ้อนน้อยลง

“คุณดูไม่สนใจผม อาจจะเป็นเพราะมีคนอื่นอยู่ในใจ เพราะงั้นความรักของผมก็เลยกลายเป็นรักข้างเดียว…. มันเจ็บนะครับ ถ้าลืมได้มันก็ดีไม่ใช่เหรอ…”

“ฉันรักนายว่ะ”

“……คุณเมาหนักแล้วนะครับนายน้อย” ผมว่าพลางยกแก้วเหล้าซดเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะปิดฝาขวดแล้วรีบกวาดขวดที่เหลืออยู่มาเก็บไว้ใกล้ตัวมากที่สุด นายน้อยทำท่าเหมือนจะโวยวายแต่ก็เปลี่ยนใจ มือสองข้างของนายน้อยตบโต๊ะไม้ดังปึ้ง คนเมาชะโงกหน้าเข้ามาใกล้ผม ใบหน้าของเขาแดงก่ำเพราะฤทธิ์ของเหมาไถ

“ฉันบอกว่าฉันรักนาย ชัดเจนมั้ยเฮยเสียจื่อ!”

“….”

“ที่ทำเป็นไม่สนใจก็เพราะเขินโว้ย!! แต่เล่นละครเนียนไปหน่อย โอเคป้ะะะ”

“เฮะ…….”

นายน้อยอาศัยจังหวะที่ผมกำลังกระพริบตาปริบๆด้วยความมึนงงเขย่าตัวผมไปมา “อย่าลืมฉันสิฟะไอ้บ้าแว่นกันแดด อยากลืมงั้นเรอะ ถึงนายจะอยากลืมมากแค่ไหนแต่ฉันก็ไม่ยอมหรอกโว้ยย คิดว่าจะหยุดท่านอู๋เสียคนนี้ได้รึไงฮะะ?!!!”

“ด เดี๋ยวครับนายน้อย ใจเย็นๆก่อนครับ!!”

“ต้องเอานายมาเป็นของฉันให้ได้โว้ยยยย….คร่อก”

หลังจากที่อาละวาดจนหนำใจแล้วนายน้อยก็สลบคาอกผม ส่งเสียงกรนดังคร่อกท่ามกลางความเงียบในห้องพัก ผมหลุดหัวเราะออกมาเสียงดัง นายน้อย คุณว่าผมบ้า แต่คุณต่างหากที่บ้าของแท้เลย

แต่แบบนี้ก็น่ารักดีน่ะนะ…

บางทีที่ผมอยากมาดื่มกับคนที่ผมอยากลืมที่สุดก็คงเป็นเพราะลึกๆแล้วผมยังไม่อยากลืมเขา อะไรบางอย่างในตัวผมกำลังสับสน อยากลืมแต่ลึกๆข้างในก็ไม่อยากลืม

อืม…ต่อจากนี้ไปก็คงไม่สับสนอีกแล้วล่ะนะ…

ผมถอนหาย ค่อยๆพยุงอีกคนไปนั่งที่เก้าอี้ ก่อนอื่นคงต้องจัดการกับขยะพวกนี้ก่อนแล้วค่อยพานายน้อยไปส่งที่บ้าน

ผมเก็บขยะไปยิ้มไปด้วยหัวใจที่ชื่นบาน สงสัยว่าจะเป็นฤทธิ์เหล้าที่ทำให้ร่าเริงขนาดนี้….

ไม่สิ

ฤทธิ์รักมากกว่าล่ะมั้ง….

……….

ไม่เมาเหล้าแล้วแต่เรายังเมารั—- #แค่กกกก กลับมาเขียนฟิคหลังจากที่ไม่ได้แตะมานานค่ะ พอเห็นหัวข้อเดย์ลี่Drunkแล้วสมองก็เชื่อมโยงถึงเหล้า->อกหัก->พระรอง->พี่เฮย สุดท้ายก็ออกมาเป็นเฮยเสียแบบงงๆ(….) ตอนแรกว่าจะให้จบแบบดราม่า พี่เฮยพร่ำเพ้ออเกนแอนด์อเกน แต่จู่ๆก็อยากเห็นนายน้อยเมา…. ก็เลยกลายเป็นอะไรงงๆอย่างที่ทุกคนได้อ่านไปนี่แหละค่ะแงงง555555 ขอบคุณที่แวะมาอ่านกันนะคะ❤️

ปล.ขอบคุณข้อมูลเหล้าเหมาไถจาก http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2006/11/X4841816/X4841816.html คห.ที่7
http://m.pantip.com/topic/31597976?

Posted in Dàomù bǐjì FanFiction

Dàomù bǐjì FanFiction [ เฮยเสียจื่อ x อู๋เสีย ] ‘ตัวจริง’

Dàomù bǐjì FanFiction

Hēi xiā zi x Wú Xié (เฮยเสีย)

‘ตัวจริง’

……

ท่ามกลางสายฝนที่กำลังโปรยปราย ผมเผลอคีบบุหรี่ขึ้นมาสูบอย่างเหม่อลอยโดยที่ไม่ทันระลึกได้ว่ายังไม่ได้จุดไฟ สายตาจับจ้องไปยังรถยุโรปหรูหราคันหนึ่งที่จอด ณ บริเวณหน้าร้านขายวัตถุโบราณแห่งหนึ่งในเมืองหังโจว

คนที่ก้าวลงจากรถคันนั้นมีคนคุ้มกันคอยกางร่มและเปิดประตูให้ เขาเป็นชายหนุ่มร่างบางและมีเอกลักษณ์ประจำตัวก็คือเสื้อเชิ้ตสีชมพู เป็นคนที่ไม่ว่าใครในวงการคว่ำกรวยก็ต้องรู้จัก

เซี่ยอวี่ฮัวพร้อมด้วยคนคุ้มกันสองคนเดินเข้าไปในร้าน ผมเพิ่งรู้สึกตัวว่าบุหรี่ที่คาอยู่ในปากนั้นยังไม่ได้จุดไฟจึงหยิบมันออกมา เก็บมันลงกระเป๋ากางเกงแล้วเงยหน้ามองท้องฟ้าครึ้มฝน

ชื่อของผมคือเฮยเสียจื่อ เป็นโจรขุดสุสานที่ทำตัวลึกลับและเรียกได้ว่ามีชื่อเสียงในระดับหนึ่ง ความจริงแล้วในเวลานี้ผมควรจะทำงานเสี่ยงชีวิตหาสมบัติอยู่ในสุสานที่ใดที่หนึ่ง ไม่ใช่มายืนสังเกตการณ์ร้านขายวัตถุโบราณแห่งนี้อยู่อย่างลับๆ

ผมเลิกมองท้องฟ้าขมุกขมัวแล้วเหลือบตามองไปยังหน้าร้านขายวัตถุโบราณของนายน้อย เฝ้ามองต่อไปเรื่อยๆอย่างที่เคยทำเป็นปกติทุกครั้งเมื่อเดินทางมาหังโจว ทำเพียงแค่มองหน้าร้านของอีกฝ่ายแต่ไม่เคยเสนอหน้าเข้าไปเลย

เมื่อไหร่กันนะที่ผมตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะค่อยๆเลือนหายไปจากความทรงจำของเขา บางทีอาจจะตั้งแต่นึกทบทวนอะไรหลายๆอย่าง ตั้งแต่ตอนที่ตอกย้ำคำพูดเสียดแทงใจให้ตัวเองฟังว่าตัวผมนั้นไม่คู่ควรกับเขามากถึงมากที่สุด

เฮยเสียจื่อคนนี้เป็นแค่ผู้ชายเดนตายที่ใช้ชีวิตอย่างโลดโผนไปวันๆ ขลุกอยู่ในวงการสีดำจนถอนตัวไม่ขึ้นโดยที่ไม่มีทางรู้ได้เลยว่าจะมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ไปได้อีกนานเท่าไหร่ เป็นแค่ผู้ชายที่อาจจะชักนำอันตรายมาสู่คนสำคัญ เพราะฉะนั้นจึงเป็นคนที่สมควรทรมานอยู่กับความโดดเดี่ยว มากกว่าที่จะดึงคนอื่นติดร่างแหไปด้วย

โดยเฉพาะถ้าคนคนนั้นเป็นนายน้อย…เป็นอู๋เสีย เป็นคนที่ผมรัก…

ผมปล่อยให้ตัวเองยืนตากฝนต่อไปเรื่อยๆ ไม่สนใจเม็ดฝนที่ทำให้ผมสีดำค่อนข้างยุ่งเหยิงลู่ลงจนดูแปลกตา น่าแปลกที่ไอเย็นของอากาศทำให้ร่างกายของคนที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากอย่างผมสั่นสะท้านอย่างที่ไม่ควรจะเป็น หรือวันนี้ควรพอแค่นี้ดี อากาศก็เย็นลงแล้ว ถึงจะมองหน้าร้านของนายน้อยไปเรื่อยๆก็ใช่ว่าผมจะคิดถึงเขาน้อยลงนี่นา

แต่ถึงจะรู้อย่างนั้น ผมก็ยังคงยืนนิ่งอยู่กับที่ มองข้ามรถยุโรปคันหรูแล้วจับจ้องประตูร้านต่อไปเรื่อยๆ ถึงแม้จะตระหนักได้ว่าการแอบมองร้านขายวัตถุโบราณของเขาทุกครั้งที่มาหังโจวจะไม่ค่อยช่วยให้ผมคิดถึงเขาน้อยลงเท่าไหร่ แต่ผมก็ยังคงทำแบบนี้อยู่ซ้ำๆ ว่ากันว่าคนที่ไม่ควรยุ่งเกี่ยวด้วยก็คือคนโง่มีความพยายามในการทำเรื่องโง่ๆ ถ้าผมในเวลาปกติเจอคนที่แอบรักใครแต่ไม่อยากเข้าไปอยู่ในใจเขาเลยได้แต่มองร้านของเขาอย่างนี้ ผมเองก็คงไม่อยากยุ่งกับคนพพรค์นั้นเท่าไหร่นัก

ในที่สุดคุณชายเซี่ยก็เดินออกจากร้านโดยที่มีนายน้อยเดินตามมาส่ง สายตาของผมจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าของนายน้อย ความรู้สึกเจ็บแปลบแล่นไปทั่วอก

ไม่ได้นะเฮยเสียจื่อ นายห้ามเดินออกไปเด็ดขาด คนอย่างนายมองเขาได้แค่ฝ่ายเดียว แต่ห้ามเข้าไปอยู่ในระยะสายตาของเขา ได้ยินไหม นายไม่มีสิทธิ์ได้รับความรู้สึกอะไรจากเขาทั้งนั้น

รถยุโรปค่อยๆแล่นฝ่าสายฝนไปอย่างนุ่มนวล นายน้อยกำลังหันหลังกลับเข้าไปในร้าน ก่อนที่สมองจะได้สั่งการอะไร ขาของผมก็พาผมออกจากที่ซ่อนตัวโดยอัตโนมัติ มือข้างขวาเอื้อมไปข้างหน้าราวกับจะไขว่คว้าแผ่นหลังนั้นไว้ แผ่นหลังของนายน้อยที่สะท้อนอยู่ในเลนส์แว่นกันแดดสีดำคู่ใจ

“เฮยเสียจื่อ”

“อ๊ะ…” ผมได้สติขึ้นมาทันที รีบลดมือที่ทำท่าจะคว้าอะไรบางอย่างที่มองไม่เห็นเอาไว้ นายน้อยที่น่าจะรู้สึกได้ถึงเสียงฝีเท้าของผมยืนมองผมอยู่หน้าร้าน ส่วนผมยืนอยู่กลางถนน ระยะห่างของพวกเราถือว่าไม่ไกลเท่าไหร่นัก แต่ก็เรียกได้ว่าไม่ใกล้จนเกินไป

“ยืนเซ่ออะไรอยู่ตรงนั้น เปียกหมดแล้วไม่ใช่หรือไง รีบๆเข้ามาสิ” นายน้อยกวักมือเรียกผมที่กำลังยืนอึ้ง ถึงแม้จะอยากเดินเข้าไปกอดใจจะขาดแต่ก็ไม่สมควรทำอย่างนั้น

ผมยิ้มบางๆให้อีกฝ่ายก่อนจะค่อยๆถอยหลังออกไปช้าๆ ฝืนสู้กับความรู้สึกของตัวเองแล้วหันหลังเดินหนี น่าแปลก ทั้งๆที่น้ำฝนที่เกาะอยู่ตามร่างกายที่เปียกโชกนั้นให้ความรู้สึกเย็นยะเยือก แต่น้ำฝนที่ไหลอาบแก้มผมกลับอุ่นเหลือเกิน

“หยุดเดี๋ยวนี้นะ!”

ในขณะที่ผมกำลังก้าวขาหนักอึ้งพาตัวเองกลับโรงแรม นายน้อยก็ทำในสิ่งที่ผมคาดไม่ถึง เขาวิ่งข้ามถนนหน้าร้านมาแล้วกระโจนใส่ผมที่หลบไม่ทัน แต่ถึงจะมีสติหลบทันผมก็คงเลือกที่จะไม่หลบอยู่ดี เพราะถ้าผมหลบ คนที่เป็นฝ่ายเจ็บตัวจะมีแต่เขาคนเดียว

ด้วยเหตุนั้นจึงกลายเป็นว่าเราสองคนกลิ้งหลุนๆเขาไปในเขตพื้นดินเล็กๆที่ถูกทิ้งร้างข้างทาง ผมครางออกมาเบาๆอย่างมึนหัว นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย ขณะที่กำลังจะหันไปต่อว่าการกระทำที่ไม่รู้จักคิดของอีกคนที่กำลังคร่อมผมอยู่ นายน้อยก็ดึงแว่นกันแดดของผมออก อุณหภูมิของสายฝนทำให้ความร้อนรนและความตกใจของผมมลายหายไป

“นายน้อย เดี๋ยวก็ไม่สบายหรอกครับ กลับเข้าร้านไปเถอะ”

“นาย…ตาแดงๆนะ”

“ช่างผมเถอะครับ แต่ถ้าคุณไม่รีบกลับเข้าร้านเดี๋ยวจะเป็นหวัดนอนซมเอานะ” ผมผลักเขาออกเบาๆแล้วลุกขึ้นยืนอย่างยากลำบาก เผชิญหน้ากับนายน้อยที่ยืนกอดอกด้วยท่าทางที่เหมือนกับว่าเขากำลังโมโห

“ทำไมช่วงนี้ไม่ค่อยโผล่หัวมาเลย ไร้ฝีมือจนหาอะไรมาขายฉันไม่ได้หรือไง”

“อืม…ช่วงนี้มือตกน่ะครับ” ผมเออออไปอย่างไม่คิดอะไรมากนัก ตั้งใจจะเดินหนีแต่นายน้อยดันเข้ามากอดผมไว้แน่น

“นายน้อย…?”

“ถ้าอย่างนั้นจู่ๆก็อย่าหายไปเลยสิ ถึงจะไม่มีธุระอะไรก็มาหาฉันได้ไม่ใช่หรือไง”

“อา…เรื่องนั้น….” ผมยิ้มเศร้าๆ ไม่รู้จะพูดตอบอีกไปว่าอย่างไรดี

“นายก็รู้ดีนี่ ถ้าฉันสนิทกับใคร ฉันก็จะเป็นห่วงคนคนนั้นมาก ต่อให้เขาหนีฉันก็จะยิ่งตามไป สุดท้ายแล้วถ้ายังหนีอยู่ฉันก็จะเลิกตาม เพราะเคารพในการตัดสินใจของเขา”

นายน้อยเว้นวรรคอยู่ชั่วครู่ก่อนจะเอ่ยต่อไปว่า “แต่ถ้าฉันรักใคร ฉันก็จะไล่ตามคนคนนั้นไปเรื่อยๆ ถึงแม้เขาจะหนีฉัน ฉันก็จะตามไปให้ถึงที่สุด ต่อให้ต้องตายฉันก็จะไม่เลิกตาม”

“ต่อให้ต้องเจอกับอะไร ต่อให้นายจะหนีฉันไปตายที่ไหนฉันก็จะตามไปตายอยู่ข้างๆนาย” นัยน์ตาของเขาเปล่งประกายความมุ่งมั่นเสียจนผมพูดอะไรไม่ออก

อย่าว่าแต่หนีเขาเลย แค่หนีหัวใจตัวเองผมยังทำไม่ได้เสียด้วยซ้ำ……

“คุณเป็นตัวจริงของผม นายน้อย แต่ผมไม่มีควรเป็นแม้แต่ตัวสำรองของคุณ”

คุณเป็นที่ผมรัก แต่ผมไม่ต้องการให้คุณรักผม ถึงแม้การให้ความรักโดยไม่ได้อะไรตอบแทนจะเป็นเรื่องที่ทรมานมากแค่ไหนก็ตาม

“ทำไม! ทำไมฉันถึงจะรักนายบ้างไม่ได้ ทั้งๆที่ฉันน่ะ…” นายน้อยกอดผมแน่นกว่าเดิม ร่างกายของเขาสั่นเทาด้วยความโกรธ

“ทั้งๆที่ฉันน่ะรักนาย รักที่สุด!!”

“…….” ผมได้พูดอะไรไม่ออก ในหัวรู้สึกว่างเปล่า ทั้งๆที่ผมพยายามหนี แต่เขากลับไล่ตามอย่างไม่คิดชีวิต

นายน้อย ทำไมคุณถึงได้ดื้ออย่างนี้นะ…

“นายน้อย คุณไม่ต้องกังวลหรอกนะครับ เพราะถึงแม้คุณจะมองไม่เห็น แต่ผมไม่หนีคุณไปไหนไกลหรอก”
ผมยังคงยืนอยู่ตรงนี้ อยู่ใกล้ๆคอยเฝ้ามองคุณมาตลอด…..

“เพราะฉะนั้น……” ผมลูบหัวเขาเบาๆแล้วยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน

“ไม่ต้องเสี่ยงวิ่งตามหาผมหรอกครับ”

ท่ามกลางสายฝนที่ตกลงมาต่อเนื่องของเมืองหังโจว นายน้อยยังคงกอดผมแน่นไม่ยอมปล่อยจนผมกลัวว่าเขาจะเป็นหวัด สุดท้ายจึงต้องยอมให้เขาลากเข้าไปในร้านอย่างจนใจ ระหว่างที่ถูกลาก ผมเงยหน้ามองท้องฟ้าด้วยตาเปล่า ไร้ซึ่งแว่นกันแดดปกปิด หยาดน้ำฝนอุ่นๆไหลอาบแก้ม หัวใจพองโตอย่างน่าประหลาด

ทั้งๆที่ไม่ควรจะยิ้มออกมาเมื่อนึกถึงคำสารภาพรักของนายน้อย ทั้งๆที่ควรจะไปจากที่นี่ แต่ผมกลับละเลยความแน่วแน่ที่มีมาตั้งแต่แรกแล้วทำตามที่หัวใจตัวเองต้องการ

ในขณะที่ในหัวของผมกำลังสับสน ความรู้สึกบางอย่างกลับเด่นชัดอยู่ในใจเฉกเช่นเมื่อก่อน ถึงแม้จะมีหลายๆเรื่องที่ผมไม่รู้ว่าควรจะจัดการอย่างไรต่อไปดี แต่ก็มีอยู่สิ่งหนึ่งที่ผมรู้ดี รู้ดีมากกว่าใครบนโลกใบนี้

ผมรู้ว่าตัวเองรักนายน้อยมากขนาดไหน

รักอย่างที่ไม่สามารถจะรักใครได้อีก….

……….

จ จบแล้วค่ะฟฟฟฟฟ พอเห็นเดย์ลี่หัวข้อนี้ปุ๊บก็นึกถึงหัวข้อ ‘ตัวสำรอง’ ที่เขียนค้างไว้ไม่จบซะทีเพราะสงสารพี่เฮย;-; ก็เลยเอามาดัดแปลงให้ซอฟต์ลงนิดนึงค่ะ สุดท้ายก็ทำร้ายพี่เฮยไม่ลงจริงๆฮือออ;-; ให้พี่เขาช้ำมาหลายฟิคแล้ว ขอให้ได้มีความสุขบ้างเถอะ ซักนิดนึงก็ยังดีฟฟฟฟฟ นายน้อยตรงไปตรงมาเหมือนเด็กๆมากค่ะ กู๊ดจ๊อบบบ จากนี้ไปความสัมพันธ์ของทั้งคู่จะเป็นยังไงก็แล้วแต่พลังจิ้นของทุกคนเลยค่ะ ขอบคุณที่อ่านจนจบนะคะ;///;

Posted in Dàomù bǐjì FanFiction

Dàomù bǐjì FanFiction [ เฮยเสียจื่อ x อู๋เสีย ] ‘ชาดอกเก๊กฮวยขาวจากหังโจว’

Dàomù bǐjì FanFiction

Hēi xiā zi x Wú Xié (เฮยเสีย)

‘ชาดอกเก๊กฮวยขาวจากหังโจว’

…….

“เฮยเสียจื่อ”

“ว่าไงครับนายน้อย”

ท่ามกลางบรรยากาศเงียบสงบของห้องพักหลังร้านขายวัตถุโบราณของผมในเมืองหังโจว ผมกับชายหนุ่มชุดดำสวมแว่นกันแดดนั่งเผชิญหน้ากันโดยมีโต๊ะไม้ตัวเล็กๆตัวหนึ่งคั่นกลาง

“คิดยังไงถึงซื้อชาดอกเก๊กฮวยขาวหังโจวมาฝากคนหังโจว……..”

“ก็ผมอยากลองดื่มดูนี่นา” เจ้าของแว่นกันแดดสีดำยักไหล่เล็กน้อยก่อนจะค่อยๆยกถ้วยชาขึ้นดื่มลิ้มรสชายี่ห้อดัง

“ได้ข่าวว่านายซื้อมาฝากฉันไม่ใช่เรอะ” ผมมองชายหนุ่มด้วยสายตาเอือมระอาก่อนจะยกชาขึ้นซดบ้าง ไอ้อร่อยน่ะมันก็อร่อยอยู่หรอก แต่มันไม่แปลกใหม่เลยน่ะสิ อุตส่าห์มาตั้งไกลก็ช่วยซื้ออะไรที่มันไม่มีขายหรือหาซื้อยากในหังโจวมาให้หน่อยจะได้ไหม

“นอกจากอยากลองดื่มก็มีอีกเหตุผลนึงครับ พอเห็นรูปดอกเก๊กฮวยสีขาวบนซองชาก็ทำให้นึกถึงคุณขึ้นมา” นายแว่นดำวางถ้วยชาลงบนโต๊ะก่อนจะรินชาจากในกาเติมลงในถ้วยที่ว่างเปล่าใบนั้น

ผมมองควันจางๆเหนือถ้วยชาของเขาแล้วถามออกไปอย่างไม่คิดอะไรมาก

“นึกถึงผู้ชายอกสามศอกตอนที่มองดอกเก๊กฮวยสีขาวเนี่ยนะ นอกจากสายตาไม่ดีแล้วยังสมองไม่ดีอีกเหรอ”

“นายน้อย คุณด่าผมตรงๆก็ได้นะครับ จะพูดยาวๆเยิ่นเย้อไปทำไม” เฮยเสียจื่อมุมปากกระตุกนิดหน่อยแต่สุดท้ายก็ยิ้มออกมา เป็นรอยยิ้มที่แตกต่างจากรอยยิ้มเสแสร้งของเขา

“นายมันโง่” ผมด่าเขาออกไปตรงๆตามคำขอ

“โง่แล้วรักรึเปล่าล่ะครับ” นายแว่นดำเอ่ยด้วยน้ำเสียงหยอกล้อ ถึงแม้ผมจะเบะปากกับคำพูดของเขาแต่หัวใจกลับเต้นตูมตามอย่างไม่มีเหตุผล

อีกแล้ว…เป็นอย่างนี้อีกแล้ว…

“ทำไมนายถึงได้ชอบทำเสียงอย่างนั้นกันนะ ฟังดูไม่จริงใจเลย” ผมแสร้งถอนหายใจ ขณะเริ่มต้นหัวข้อสนทนาเรื่องใหม่โดยที่ไม่ทันได้คิดว่าผมเคยถามเรื่องนี้กับเขาไปแล้ว

สิ่งที่ผมเกลียดที่สุดก็คือน้ำเสียงหยอกล้อที่ซุกซ่อนความรู้สึกที่แท้จริงไว้ของชายที่ชื่อเฮยเสียจื่อ ถึงแม้จะเคยขอให้เขาเลิกทำเสียงแบบนั้นแต่หมอนั่นก็หัวเราะเบาๆแล้วยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ

‘มันเป็นสไตล์ครับนายน้อย’

สไตล์พ่อง… ผมเคยเกือบจะด่าออกไปแบบนั้นแต่ก็ฝืนกลืนคำด่ากลับเข้าไปในคอเพราะเห็นว่ายังไม่สนิทกันดี

และคราวนี้เขาก็ยังคงตอบคำถามผมด้วยประโยคเดิมๆ

“มันเป็นสไตล์ครับนายน้อย”

“สไตล์พ่อง..”

คราวนี้ผมด่าออกไปจริงๆ เฮยเสียจื่อหัวเราะลั่นแต่ผมรู้สึกได้ทันทีว่าเขาหัวเราะออกมาจากใจจริง ไม่ใช่เสียงหัวเราะที่ดังออกมาจากลำคอแต่ไร้ซึ่งความรู้สึกใดๆเหมือนที่เจ้าตัวมักจะเสแสร้งทำ

ผมจิบชาระหว่างที่รอเฮยเสียจื่อหยุดหัวเราะก่อนจะนึกสงสัยในใจ ผมแค่ด่าเองนะ มันตลกขนาดนั้นเลยเหรอ แต่สุดท้ายก็เมินเฉยต่อคำถามนั้นไปแล้วหันไปสนใจหัวข้อที่เรายังคุยกันค้างไว้อยู่

“นายยังไม่ได้ตอบฉันเลยว่าทำไมเห็นดอกเก๊กฮวยขาวแล้วนึกถึงฉัน”

เฮยเสียจื่อนิ่งไปเล็กน้อยราวกับว่ากำลังเรียบเรียงคำตอบในหัว

“คุณเหมาะกับสีขาว พอเห็นดอกเก๊กฮวยขาวก็เลยนึกถึงคุณไง ที่สำคัญดอกเก๊กฮวยขาวยังมีอยู่แค่ที่หังโจวด้วย ที่อื่นมีแต่ดอกสีเหลืองๆ” เฮยเสียจื่อเว้นวรรคเล็กน้อย จิบน้ำชาในถ้วยครู่หนึ่งแล้วจึงวางถ้วยเปล่าลงบนโต๊ะก่อนจะเอ่ยต่อไปว่า

“คุณเองก็มีอยู่แค่ที่หังโจวเท่านั้นแถมยังเหมาะกับสีขาว ไม่แปลกหรอกที่ผมจะนึกถึงคุณตอนที่เห็นมัน”

“เข้าใจเปรียบเทียบดีนี่” ผมจิบชาอุ่นๆขณะนั่งฟังเฮยเสียจื่ออธิบาย งั้นเหรอ อู๋เสียแห่งหังโจวกับดอกเก๊กฮวยขาวหังโจวมีรายละเอียดที่ทำให้นึกถึงกันอยู่…

แต่รายละเอียดที่ว่ามันก็ไม่ใช่อะไรที่สะดุดตานัก ถ้าเป็นผมคงคิดแค่กว้างๆว่าดอกไม้เป็นสัญลักษณ์ของผู้หญิงแล้วก็คงไม่สนใจแน่ คงไม่ได้คิดอะไรลึกซึ้งอย่างนายแว่นดำล่ะมั้ง…

“นายว่าฉันเหมาะกับสีขาวจริงๆเหรอ ใส่เสื้อสีดำอย่างนายอาจจะเหมาะกว่าก็ได้ล่ะมั้ง” ผมว่าพลางวางถ้วยชาลงกับโต๊ะ ตัดสินใจที่จะไม่บอกเขาไปว่าถ้าใส่เสื้อสีขาวจะทำให้ดูอ้วนกว่าความเป็นจริง การสวมเสื้อสีทึบๆอาจซ่อนพุงน้อยๆของผมได้ดีกว่า ด้วยเหตุนี้ผมจึงคิดมาตลอดว่าความจริงแล้วผมอาจจะเหมาะกับสีเข้มๆมากกว่าสีโทนอ่อนก็เป็นได้

“ไม่หรอก คุณน่ะเหมาะกับสีขาว เวลาที่เห็นอะไรขาวๆผมก็จะนึกถึงคุณตลอดเลย” เฮยเสียจื่อรินชาให้ผมแล้วจึงรินให้ตัวเอง ผมพยักหน้าเล็กน้อยเป็นเชิงขอบคุณก่อนจะจิบชาถ้วยนั้นหนึ่งอึก

“แปลว่านายเห็นอะไรสีขาวก็นึกถึงฉันหมดงั้นสิ กระดาษ แผ่นซีดีเปล่า ทิชชู่ หรือว่าแม้แต่ชุดชั้นในสีขาว?”

เฮยเสียจื่อแทบจะพ่นน้ำชาใส่หน้าผม เขาอดทนกลืนอย่างยากลำบากก่อนจะปล่อยก๊ากออกมาเสียงดัง อะไรกันล่ะนั่น หัวเราะง่ายเกินไปแล้ว! ถ้าเป็นนายอ้วนเขาต้องตบมุกผมด้วยมุกที่เหนือกว่า แต่นายแว่นดำกลับหัวเราะตั้งแต่มุกแรก ว่าแต่มันตลกตรงไหนล่ะเนี่ย ผมไม่เข้าใจเขาเลยจริงๆ…

“นายน้อย คุณรู้ตัวมั้ยว่าคุณทำอะไรก็ตลกไปหมด”

“นายจะบอกว่าฉันควรปิดกิจการแล้วไปเล่นตลกคาเฟ่งั้นเหรอ บ้าสิ อย่างนั้นเตี่ยฉันฆ่าฉันตายแน่”

เฮยเสียจื่อสูดหายใจเข้าลึกๆหลังจากที่หัวเราะอยู่นานพอสมควร ช่วงแรกๆที่เจอกันเขาก็ชอบมองผมแล้วยิ้มๆจนผมนึกว่าเขาเป็นคนสติไม่เต็ม แต่ถ้าสังเกตดีๆ ผมรู้สึกว่าเขาไม่ค่อยยิ้มและหัวเราะอย่างจริงๆใจกับใครเท่าไหร่นัก นอกจากผมคนเดียว…

ถึงแม้จะไม่อยากยอมรับเท่าไหร่ แต่เรื่องนี้ทำให้ผมรู้สึก…ดี

“ผมจะมองอะไรก็นึกถึงหน้าคุณ จะทำอะไรก็คิดถึงคุณทุกเวลานั่นแหละ” เฮยเสียจื่อพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่จริงจังเช่นเคยแต่กลับทำให้ใจผมเต้นรัวเร็วผิดจังหวะอย่างน่าประหลาด

อีกแล้ว…เป็นอย่างนี้อีกแล้ว…

ในขณะที่ผมกำลังสับสน เสียงโทรศัพท์มือถือของอีกฝ่ายก็ดังขึ้น เจ้าของแว่นกันแดดสีดำรับสายแล้วพูดตอบรับไปสั้นๆสองสามคำจากนั้นจึงกดตัดสาย เก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋ากางเกงแล้วยืนขึ้นบิดขี้เกียจไปมา

“ผมมีงานด่วนคงต้องรีบกลับทันที เอาไว้เดี๋ยวผมจะซื้อชายี่ห้อนี้มาฝากอีกละกันครับ”

“ไม่ต้องเลย” ผมทำทีเป็นเอ่ยด้วยน้ำเสียงเอือมระอาพร้อมๆกับมองส่งแผ่นหลังของเขา จิบชาอีกเล็กน้อยก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ทันทีที่ไร้ร่างของเฮยเสียจื่อบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม ความคิดของผมก็เริ่มฟุ้งซ่านขึ้นมาทันที

ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองหรือเปล่า แต่ที่ผ่านมาผมรู้สึกได้ถึงสายตาเป็นห่วงเป็นใยที่ซ่อนอยู่หลังแว่นกันแดดนั่น

รู้สึกได้ว่าถึงแม้เขาจะจงใจสร้างระยะห่างระหว่างเรา แต่พอเผลอทีไรก็เป็นเขาเองนั่นแหละที่มักจะยืนอยู่ข้างกายผมเสมอ และทันทีที่รู้ตัว เฮยเสียจื่อก็จะรีบถอยไปข้างหลัง คอยเฝ้ามองอยู่ห่างๆแทนที่จะยืนอยู่เคียงข้างกัน

เฝ้ามองด้วยสายตาเจ็บปวดเบื้องหลังแว่นกันแดด

ไม่รู้ว่าทำไม แต่ผมรู้สึกไม่ชอบใจเลย รู้สึกเจ็บที่หัวใจอย่างไม่มีสาเหตุ….

ทำไมถึงได้หนีฉันล่ะ ทำไมถึงไม่ยืนอยู่ข้างๆฉัน…

ถ้ายืนมองจากตรงนั้นไกลๆแล้วมันทรมานก็มายืนข้างๆกันสิ มาอยู่ข้างๆฉันนี่

พอรู้ตัวอีกที ผมก็กำลังจิบน้ำชาที่ถูกปรุงรสเพิ่มเติมด้วยน้ำตาที่กำลังไหลริน

บ้าจริง…นี่ผมเป็นอะไรไป ทำไมถึงได้…รู้สึกเจ็บปวดขนาดนี้กันนะ

คงไม่ได้…หลงรักเจ้าแว่นกันแดดนั่นจริงๆใช่มั้ย? อู๋เสีย…

……….

ตอนที่เห็นหัวข้อเดย์ลี่ครั้งแรกก็รู้สึกตันมากค่ะ เพราะเพิ่งเขียนหัวข้อแบล็คไปแล้วในเนื้อเรื่องของฟิคนั้นก็มีเนื้อหาที่คิดว่าถ้าใส่ในหัวข้อไวท์แล้วต้องโอเคแน่ๆ แต่ก็เขียนไปแล้วนี่นะ… และขณะที่กำลังนึกๆถึงอะไรที่พอจะโยงกับสีขาวได้ ด้วยความที่ตีหนึ่งตีสองเป็นช่วงเวลาที่เกิดความคิดอะไรแปลกๆมากที่สุดก็ทำให้นึกถึงโฆษณาชายี่ห้อหนึ่งขึ้นมา…เพีxxริคุ ชาเก๊กฮวยขาวจากหังโจว.. จากนั้นก็เลยกลายเป็นฟิคเรื่องนี้นั่นเองค่ะ หลังจากที่เขียนในมุมมองพี่เฮยก็อยากจะลองเขียนในมุมมองของนายน้อยบ้างค่ะ (ท้ายๆอาจจะรีบจบไปหน่อยเพราะเริ่มตัน—/แค่กกก) พี่เฮยที่ขอรักเขาข้างเดียวไม่ต้องการให้เขารักตอบกับนายน้อยที่กำลังสับสนในการกระทำของพี่เฮยและเริ่มหลงรักพี่เฮยโดยไม่รู้ตัวนี่มันช่าง….อาาาาา ไม่ดราม่าคู่นี้ซักครั้งจะได้ไหมฮือออออฟฟฟฟฟฟฟ

Posted in Dàomù bǐjì FanFiction

Dàomù bǐjì FanFiction [ เซี่ยอวี่ฮัว x เฮยเสียจื่อ ] ‘Bicycle’

Dàomù bǐjì FanFiction

Xiè yǔ huā x Hēi xiā zi (ฮัวเฮย)

‘Bicycle’

……

“เฮยเสียจื่อ มัวแต่ยืนนิ่งทำไม รีบๆมานั่งเร็วเข้า”

ท่ามกลางสายตาผู้คนมากมาย ณ สวนสาธารณะแห่งหนึ่งในกรุงปักกิ่ง ผมยิ้มเจื่อนๆมองคุณชายฮัวที่กำลังนั่งคร่อมอยู่บนจักรยานเช่าสีชมพูหวานแหววก่อนจะส่ายหน้าปฏิเสธทันที

“ไม่ล่ะครับ งานนี้ผมขอผ่าน”

“เฮยเสียจื่อ” เสียงหวานที่เอ่ยเอื้อนออกมาทำเอาผมขนลุกไปทั้งตัว 

ชื่อของผมคือเฮยเสียจื่อ ผมเป็นโจรขุดสุสานฝีมือดีที่หาตัวจับได้ยาก เป็นหนึ่งในพวกเดนตายที่ทำอะไรต่ำช้าและใช้ชีวิตอย่างโลดโผนไปวันๆ ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถทำให้คนอย่างผมหวาดกลัวได้ยกเว้นเซี่ยอวี่ฮัว คุณชายเก้าแห่งสกุลเซี่ยที่กำลังบังคับผมให้ซ้อนท้ายจักรยานสีหวานนั่น

“ผมตัวใหญ่กว่าคุณ ขืนให้ผมซ้อนแล้วคุณชายพาผมล้มก็แย่สิครับ” ผมยักคิ้วให้ร่างบางแต่อีกฝ่ายกลับเมินเฉยต่อคำพูดของผม

“ตอนเด็กๆฉันเคยปั่นจักรยานให้คนที่ตัวโตกว่านายซ้อนท้ายมาตั้งหลายคนแล้ว” คุณชายว่าพลางส่งยิ้มหวานหยดย้อย “กะอีแค่นายคนเดียว คนที่ฝึกเรื่องการทรงตัวมาตั้งแต่เด็กอย่างฉันจะรับน้ำหนักไม่ได้เชียวหรือ?”

ผมร้อง ‘อ๋อ’ ออกมาเมื่อได้ยินคำอธิบายของคุณชาย เหตุผลของเขาเข้าท่ามากทีเดียว ผมเชื่อว่าคุณชายต้องเป็นมือโปรในด้านการบังคับจักรยานแน่ๆ ถ้าเป็นคนอื่นก็คงคล้อยตามคำพูดของเขา แต่ว่าคนคนนั้นต้องไม่ใช่ผม

ผมเหลือบมองจักรยานเช่าคันนั้นแล้วส่ายหน้าปฏิเสธอย่างเด็ดเดี่ยว “ยังไงก็ไม่ขึ้นครับ”

“หืม? น่าแปลกใจจัง ปกตินายไม่ค่อยยืนกรานอะไรหนักแน่นอย่างนี้นี่ เมื่อคืนฉันก็อุตส่าห์ไม่ทำให้นายเจ็บแท้ๆ นายไปทำอะไรลับหลังฉันมาหรือไง?” น้ำเสียงเย็นเยียบของคุณชายทำให้ผมเหงื่อแตกพลั่กๆ ผมหัวเราะแห้งๆแล้วตอบไปตามจริง

“หัวใจของผมมีแต่คุณชายคนเดียวเท่านั้นล่ะครับ ว่าแต่…สัญญามาก่อนนะว่าเรื่องที่ผมจะบอกคุณชายต้องไม่เล่าให้ใครฟัง”

คุณชายเลิกคิ้วสงสัยแค่ก็พยักหน้ารับปากผม “ฉันสัญญา รีบๆพูดมาได้แล้ว”

ผมเหลือบมองไปทางอื่นราวกับต้องการจะหลบสายตาของคนตรงหน้า พึมพำออกไปเบาๆ

“ผมซ้อนท้ายจักรยานไม่เป็น”

“……” คุณชายเงียบไปซักพักก่อนจะหัวเราะออกมาเสียงดัง ใบหน้าของผมร้อนผ่าว ให้ตายสิ สุดท้ายผมก็บอกความลับที่น่าขายหน้าสุดๆให้คนร้ายกาจอย่างคุณชายฮัวไปจนได้ เฮยเสียจื่อผู้เก่งกาจบุกรุกสุสานอย่างห้าวหาญไม่กลัวตายกลับซ้อนท้ายจักรยานไม่เป็น รู้ถึงไหนอายถึงนั่นแน่ๆ

และแน่นอนว่าแค่ซ้อนท้ายยังทำไม่เป็น มั่นใจได้เลยว่าผมก็ขี่จักรยานให้ใครซ้อนไม่เป็นเช่นกัน

ผมอยากจะโวยวายให้คุณชายหยุดหัวเราะแต่จากประสบการณ์ที่ผ่านมา คุณชายเป็นคนประเภทยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ ผมจึงต้องจำยอมยืนอยู่นิ่งๆทั้งๆที่อยากโวยใจจะขาด

โจรขุดสุสานอย่างผมไม่ได้ยึดถือวิถีสโลว์ไลฟ์ในการดำรงชีพซะหน่อย จะให้ผมนั่งซ้อนท้ายจักรยานฆ่าบ๊ะจ่างหรือไง

ในที่สุดคุณขายก็หยุดขำ นิ้วเรียวปาดหยดน้ำจากหางตาออกไปก่อนจะลูบหัวผมที่กำลังทำสีหน้าไม่พอใจอยู่เงียบๆ 

“ก็ได้ ถ้าอย่างนั้นเรากลับกันเถอะ”

“อ้าว คุณไม่ขี่จักรยานแล้วเหรอครับ เดี๋ยวผมนั่งรอก็ได้” ผมกระพริบตาปริบๆอย่างไม่เข้าใจ ปกติแล้วเซี่ยอวี่ฮัวไม่ใช่คนอ่อนโยนหรือใจดีอะไร เพียงแค่ใจอ่อนกับผมในบางเวลาเท่านั้น ดังนั้นเมื่อได้ยินคำพูดของเขาผมจึงอดประหลาดใจไม่ได้

คุณชายเอื้อมมือข้างหนึ่งมาจูงมือผม ข้างหนึ่งจูงจักรยานกลับไปที่บริเวณร้านเช่า ระหว่างนั้นก็เอ่ยปากพูดออกมาเบาๆ

“คืนนี้ฉันจะขี่นายแทนจักรยาน”

“……ถ้าอย่างนั้นผมยอมซ้อนท้ายจักรยานคุณก็ได้”

“ไม่ล่ะ ฉันเปลี่ยนใจแล้ว”

ท่ามกลางบรรยากาศยามเย็นที่สุดแสนจะโรแมนติกในสายตาของคนทั่วไป ผมกลับมองไม่เห็นถึงความงดงามของดวงตะวันที่กำลังจะลาลับขอบฟ้าเลยแม้แต่น้อย

ให้ตายเถอะ ผมยอมรับแล้วว่าทักษะการซ้อนจักรยานแม่งเป็นอะไรที่โคตรสำคัญต่อการดำรงชีวิตของเฮยเสียจื่อจริงๆ

…………

เมื่อคืนเห็นหัวข้อเดย์ลี่เป็นจักรยาน(20/04/15)เลยลองจดๆพล็อตไว้แล้วมาเขียนอีกทีตอนเช้าค่ะแงง555555 สั้นๆตามประสาคนขี้เกียจและสมองตันเนอะ—-/แค่กกกกก สารภาพตามตรงว่าเราก็ซ้อนท้ายจักรยานใครไม่เป็นค่ะ ส่วนตัวรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่ยากมากกกก(ก.ไก่ล้านตัว) แต่พอพูดให้เพื่อนฟังกลับโดนหาว่ากากซะงั้น ;3; บู่ววววว ก็เลยรู้สึกว่ากลายเป็นเรื่องน่าอายไปเลยฟฟฟฟฟฟ

ปล.ที่ปักกิ่งนี่มีสวนที่มีจักรยานให้เช่าขี่เหมือนสวนรถไฟมั้ยนะ—- /มโนว่ามีไปแล้ว55555

ปลล.ช่วงนี้ติดเกมพอมาเขียนฟิคทีนี่เรียบเรียงประโยคไม่ถูกเลย ;-;