Osomatsu-San FanFiction
Atsushi x Tougou
‘Boss’
……….
ชื่อของผมคืออัตสึชิ เป็นหัวหน้าแก๊งมาเฟียที่ใหญ่ที่สุดในเมือง อายุ20ปี งานอดิเรกคือฆ่าคน ไม่ก็เล่นกับแมวครับ
เนื่องจากช่วงนี้พวกมาเฟียลูกกระจ๊อกจากแก๊งปลาซิวปลาสร้อยเริ่มไม่เห็นหัวผมเท่าไหร่ ก็เลยทำการกวาดล้างไปจนหมดแล้ว พอไม่มีศัตรูให้ฆ่า ผมก็เลยมักจะใช้เวลาว่างส่วนใหญ่เล่นกับแมวอยู่ในห้องทำงานครับ
แมวของผมชื่อโทโกวซัง เป็นแมวที่เจ้าเล่ห์น่าดู ชอบซนไปทั่วจนลูกน้องของผมหัวปั่นไปหมด แต่ถึงอย่างนั้น ผมก็รักมันครับ
“โทโกวซังครับ อันนั้นกินไม่ได้นะครับ ถ้ายังไม่หยุดซนผมจะจับกินจริงๆนะ—โอ๊ย!!”
หัวของผมถูกจับโขกลงกับโต๊ะอย่างรุนแรง เสียงตวาดอย่างหงุดหงิดที่ดังลั่นห้องบ่งบอกถึงความรู้สึกของเขาได้เป็นอย่างดี
“ใครใช้ให้แกเอาชื่อคนอื่นมาตั้งเป็นชื่อแมววะ?!!!”
ผมลูบหัวป้อยๆก่อนจะเงยหน้ามองโทโกวซังในชุดสูทลายตารางตัวเก่งที่ยืนอยู่ข้างๆแล้วหัวเราะออกมาเบาๆ เจ้าเหมียวตัวน้อยกระโดดผลุงลงจากโต๊ะทำงาน มันเลิกยุ่งกับแฟ้มเอกสารที่เปิดกางไว้แล้วเดินสะบัดหางไปซุกตัวอยู่บนโซฟารับแขกแทน
“ก็โทโกวซังเหมือนแมวนี่ครับ…ไม่สิ น่ารักกว่าแมวเยอะเลย อ๊ะๆๆ อย่าเพิ่งอารมณ์เสียสิครับ”
ผมรีบยกมือห้ามคู่สนทนาที่มองหาอุปกรณ์เหมาะมือสำหรับการโจมตีอีกรอบ ห้องทำงานของผมเต็มไปด้วยข้าวของหรูหราที่ประดับประดาอย่างลงตัว และแต่ละชิ้นนอกจากราคาจะสูงแล้ว น้ำหนักของมันก็มากอยู่เอาการ ยกตัวอย่างเช่นเชิงเทียนสีเงินสลักลายเก่าแก่อันนั้น
จำได้ว่าเคยมีคดีฆาตกรรมที่อาวุธสังหารคือเชิงเทียน ในฐานะบอสมาเฟีย ผมไม่ค่อยอยากให้ตำรวจมายืนล้อมศพผมในสภาพที่ถูกเชิงเทียนฟาดหัวเท่าไหร่หรอก ค่อนข้างเสียหน้าอยู่นะครับแบบนั้นน่ะ
“หนวกหูเฟ้ย! อย่าใช้คำพูดอย่างนั้นมาพูดกับฉันนะ ขยะแขยง” โทโกวซังทำท่ารังเกียจกันอย่างเห็นได้ชัด ผมหัวเราะออกมาเบาๆ หยิบแฟ้มเอกสารขึ้นมาโชว์ให้เขาดู
“ว่าแต่คิดเหมือนผมหรือเปล่าครับ ยอดตัวเลขในการสั่งซื้ออาวุธนี่มันแปลกๆยังไงก็ไม่รู้”
พอเห็นผมเปลี่ยนท่าที โทโกวซังเองก็เริ่มจริงจังขึ้นมาบ้าง เขาจ้องเอกสารในมือผมเขม็ง ขมวดคิ้วมุ่นพร้อมกับเอามือลูบปลายคางตัวเองเบาๆอย่างลืมตัว
“ปลอมบัญชีสินะ….จะว่าไปก็ยังมีคนแบบนี้อยู่แฮะ พวกรนหาที่ตายโง่ๆเนี่ย”
“ฮะๆ ถ้าไม่ใช่ผมก็คงเซ็นอนุมัติไปแล้ว” ผมว่าพลางยืดอกอย่างภาคภูมิใจ ก่อนจะหันหน้าไปส่งสายตาเป็นประกายระยิบระยับให้โทโกวซัง
“ผมเก่งใช่ไหมครับ”
“……ขยะแขยงว่ะอัตสึชิ”
“ว้า โทโกวซังไม่เห็นชมผมเลย น้อยใจจังครับ”
“โตป่านนี้แล้วยังจะอ้อนเป็นเด็กๆไปได้ หัดอายซะบ้าง ทำตัวให้มันน่าเกรงขามหน่อย!” โทโกวซังเดินไปนั่งไขว่ห้างที่โซฟา เจ้าแมวที่ชื่อเดียวกันยังคงหลับตาพริ้มอยู่บนเบาะ ไม่ยินดียินร้ายกับชายวัยกลางคนที่อยู่ใกล้ๆกันเท่าไหร่นัก
“ผมก็ทำแบบนี้กับโทโกวซังแค่คนเดียวแหละครับ ให้ตายสิ…พอผมทำตัวเป็นเด็กก็ไม่ชอบใจ พอผมแสดงความเป็นผู้ใหญ่อย่างเร่าร้อนก็โวยวายตลอด เอาใจยากจังเลยครับ”
“พ พูดบ้าอะไร! หยุดพูดแล้วก้มหน้าทำงานต่อไปเดี๋ยวนี้!!!”
พอเริ่มพูดมาถึงประเด็นเรื่องบนเตียง ผมยักยิ้มชอบใจเมื่อเห็นว่าใบหน้าของโทโกวซังขึ้นสีแดงจางๆ เป็นอีกครั้งที่เขาชอบตวาดกลบเกลื่อนความเขินอาย ยิ่งทำให้อีกฝ่ายรู้สึกว่าตนตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ผมก็ยิ่งมีความสุข
เอาล่ะ แกล้งยังไงอีกดีนะ?
ในขณะที่ผมกำลังฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดีอยู่ในห้องทำงานเก็บเสียงที่แทบจะเรียกได้ว่าถูกตัดขาดจากโลกภายนอก เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นพร้อมกับเสียงขออนุญาตเสิร์ฟกาแฟ ทั้งผมทั้งโทโกวซังหันไปให้ความสนใจกับประตู และเมื่อผมอนุญาตให้อีกฝ่ายเข้ามาข้างใน สาวใช้หน้าไม่คุ้นก็เดินถือถาดกาแฟเข้ามาในห้องอย่างนอบน้อม
หญิงสาววางถ้วยกาแฟลงบนโต๊ะทำงานสองถ้วยพร้อมกับจานใส่น้ำตาลก้อน ผมเหลือบมองสิ่งเหล่านั้นก่อนจะสั่งเธอเสียงนุ่ม
“เอาไปให้โทโกวซังที่โต๊ะรับแขกสิครับ วางบนโต๊ะทำงานแบบนี้ พนักงานใหม่อย่างเธอกำลังดูถูกความสำคัญของเขาอยู่นะ จะให้เขาลำบากเดินมาดื่มเองหรือไง”
สาวใช้สะดุ้งโหยง เธอหันไปมองยังที่ที่โทโกวซังนั่งอยู่อย่างหวาดกลัว ก่อนจะยกกาแฟไปวางบนโต๊ะตามคำสั่ง และก่อนที่เธอจะขอตัวออกไปจากห้องพร้อมกับถาดที่ว่างเปล่า ผมออกคำสั่งกับเธอสั้นๆ
“ผมกับโทโกวซังไม่ชอบเติมน้ำตาล คราวหน้าไม่ต้องเอามาให้หรอกครับ”
“ข ขอโทษค่ะ!!” หญิสาวรีบก้มหน้าขอโทษอย่างลนลานก่อนจะเก็บจานใส่น้ำตาลแล้วเผ่นออกจากห้องทำงานอย่างรวดเร็ว ผมถอนหายใจอย่างเอือมระอา ยกแก้วกาแฟขึ้นจิบช้าๆ
“ถ้ามีคนลาออกอีกจนคนไม่พอก็ขอให้รู้ไว้เลยนะว่าเป็นความผิดของแกเต็มๆ” โทโกวซังบ่นอย่างเหนื่อยหน่าย เจ้าแมวน้อยบนโซฟาลืมตาตื่นขึ้นมาได้สักพักแล้ว มันบิดขี้เกียจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเดินนวยนาดมาหาผม
“ฮะๆๆ นี่น่ะเป็นการดูแลสั่งสอนลูกน้องในแบบของผมยังไงล่ะครับ ว่าแต่โทโกวซัง… ช่วยเล่นกับโทโกวซังไปก่อนได้มั้ยครับ เดี๋ยวโทโกวซังก็จะทำตัวสมกับเป็นโทโกวซังด้วยการข่วนโต๊ะเรียกร้องความสนใจน่ะครับ”
“ก็บอกแล้วไงว่าให้เปลี่ยนชื่อแมว!!! ไม่รู้ไม่ชี้ แมวของตัวเองก็ดูแลเองแล้วกัน”
“เอ๋…. แต่ผมไม่ชอบเสียงตอนโทโกวซังข่วนโต๊ะนี่ครับ ถ้าจะข่วนหรือจิกเล็บน่ะมันต้องเป็นที่หลังของผมเท่านั้นสิ โอ๊ยย!!!”
“พูดบ้าอะไรของแก!!! ทำงานต่อได้แล้วไอ้เด็กนี่!!”
ถึงแม้จะเจ็บที่ถูกจับหัวกระแทกโต๊ะอีกแล้ว แต่ผมกลับหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข
ถ้าได้อยู่ด้วยกันอย่างนี้ตลอดไปก็คงดี…
…….
“ยามาดะซังคะ เอ่อ บอสเค้า…โทโกวซัง…”
“ก็นะ เธอจะตกใจก็ไม่แปลก บอสเป็นถึงมาเฟียที่โหดที่สุดในเมืองแต่กลับชอบเลี้ยงแมว…”
“มะ ไม่ใช่ค่ะ ไม่ได้หมายถึงแมว ต แต่หมายถึง…โทโกวซังอีกคน…”
พอหญิงสาวเอ่ยชื่อนั้นออกมา บอดี้การ์ดคนสนิทที่มีชื่อว่ายามาดะถึงกับนิ่งไปชั่วครู่ เขาถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ก่อนจะพยายามอธิบายให้สาวใช้หน้าใหม่ฟังอย่างใจเย็น
“โทโกวซังเป็นคนที่ดูแลบอสมาตั้งแต่เด็กๆน่ะ เห็นว่าเป็นน้องชายบุญธรรมของบอสคนก่อนของแก๊งเรา ก็เป็นผู้บริหารระดับสูงนั่นล่ะนะ…”
“เอ่อ…ไม่ใช่เรื่องนั้นหรอกค่ะ คือฉันน่ะ…พอเอากาแฟไปเสิร์ฟสองถ้วยตามคำสั่งบอส ก็ดันโดนด่าว่าไม่ให้ความสำคัญกับโทโกวซังน่ะค่ะ…”
“….”
“แต่ในห้องทำงานน่ะ…ไม่มีโทโกวซังอยู่ในห้องเลยนะคะ มีแค่บอสกับแมวเท่านั้นค่ะ… ตอนแรกก็นึกว่าบอสชอบดื่มกาแฟสองถ้วย แต่พอบอกให้เอากาแฟไปวางให้โทโกวซังแล้ว ฉันไม่เห็นจะเข้าใจเลยค่ะ…”
“นี่น่ะมันหมายความว่ายังไงเหรอคะ…?”
บอดี้การ์ดสูทดำลอบถอนหายใจออกมา หันมองซ้ายขวาอย่างมีพิรุธ เมื่อสังเกตเห็นว่าไม่มีใครสัญจรผ่านไปมาจึงเอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบา
“โทโกวซังน่ะ…ตายไปแล้ว…”
“เอ๊ะ?!”
“ก่อนหน้านี้น่ะบอสยกพวกไปถล่มแก๊งมาเฟียทุกแก๊งเลยใช่มั้ยล่ะ นั่นน่ะก็เป็นเพราะว่าเจ้าพวกนั้นมากระตุกหนวดบอสด้วยการฆ่าโทโกวซังแล้วส่งรูปมาให้ดูนั่นล่ะ”
“งั้นก็แปลว่า…ที่ผ่านมา…บอสพูดคนเดียวมาตลอดเลยเหรอคะ?!!”
“อา….” ยามาดะงึมงำคำตอบอยู่ในลำคอ ชายหนุ่มพยักหน้าขึ้นลงอย่างเชื่องช้า
“เพราะงั้นนะเด็กใหม่ ต่อไปนี้คือกฎเพื่อความอยู่รอดในองค์กรนี้ ไม่ว่าเธอจะไม่เห็นอะไรเหมือนที่บอสเห็น แต่เธอก็ต้องทำเหมือนกับว่าโทโกวซังมีตัวตนอยู่”
ไม่ว่าบอสจะหันไปพูดกับอากาศที่ว่างเปล่า
ไม่ว่าบอสจะเอาหัวตัวเองโขกกับโต๊ะทำงาน
ไม่ว่าบอสจะสั่งกาแฟสองถ้วย
หรือไม่ว่าบอสจะทำอะไรก็ตามที่ผิดปกติ
ห้ามถาม ห้ามพูด ห้ามทำเหมือนกับว่าสิ่งที่บอสทำมันเป็นเรื่องแปลกประหลาด
“ถ้ายังไม่อยากตายก็ปล่อยให้เขาจมดิ่งอยู่กับภาพหลอนต่อไปเถอะ เธอคงไม่อยากให้ปีศาจตื่นขึ้นมาเผชิญหน้ากับความเป็นจริงหรอกใช่ไหม?”
“….”
ชายหนุ่มเอ่ยเตือนอย่างหวังดี ขณะที่พูดร่างกายทุกสัดส่วนสั่นไปมาอย่างควบคุมไม่ได้
“ปีศาจที่คลั่งน่ะ…เป็นฝันร้ายของจริงเลยล่ะ”
……………